
ช่วงปลายเดือนกันยายนแบบนี้ก็ได้เวลาเกษียณอายุของข้าราชการหลายต่อหลายคน พูดถึงข้าราชการเกษียณก็ต้องพูดถึงเรื่องที่เป็นกระแสข่าวมาตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา สำหรับการเพิ่มวงเงินบำเหน็จดำรงชีพอีกไม่เกิน 100,000 บาท พี่น้องข้าราชการอาจจะดีใจที่จะได้มีเงินใช้หลังเกษียณเพิ่มขึ้น แต่ก็มีบางเรื่องที่ต้องไม่ลืมคำนึงถึงด้วย ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันว่าบำเหน็จดำรงชีพคืออะไร และจ่ายให้แก่ผู้รับบำนาญอย่างไรดีกว่าครับ...
ทบทวนข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับบำเหน็จดำรงชีพ
บำเหน็จดำรงชีพ เป็นมาตรการของรัฐบาลที่เริ่มขึ้นในปี 2546 เพื่อช่วยเหลือผู้รับบำนาญให้สามารถดำรงชีพอย่างเหมาะสมและพอเพียงกับเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงเป็นอันมาก บำเหน็จดำรงชีพที่ได้รับนี้จะนำไปหักออกจากบำเหน็จตกทอดที่ทายาทหรือบุคคลที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาไว้มีสิทธิได้รับเมื่อผู้รับบำนาญเสียชีวิต (คิดเป็น 30 เท่าของบำนาญรายเดือน) และหักสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่อาจนำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงิน (หรือที่เรียกกันว่า บำเหน็จค้ำประกัน) ก่อนจ่ายให้แก่ผู้รับบำนาญ โดยบำเหน็จดำรงชีพยังได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับบำเหน็จตกทอดอีกด้วย
บำเหน็จดำรงชีพจะจ่ายในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือน ซึ่งล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป ได้มีการขยายเพดานของบำเหน็จดำรงชีพจาก 400,000 บาท มาอยู่ที่ 500,000 บาท โดยแบ่งจ่ายตามช่วงอายุ ดังนี้
อายุต่ำกว่า 65 ปี ได้รับไม่เกิน 200,000 บาท
อายุตั้งแต่ 65 ปี แต่ไม่ถึง 70 ปี ได้รับอีกไม่เกิน 200,000 บาท
อายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ได้รับอีกไม่เกิน 100,000 บาท
(โดย 2 ส่วนแรกจะขอรับหลังช่วงอายุดังกล่าวก็ได้)
ได้ทบทวนลักษณะของบำเหน็จดำรงชีพแล้ว คราวนี้มาดูกันว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่พี่น้องข้าราชการต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับบำเหน็จดำรงชีพที่ (อาจ) ได้รับเพิ่มขึ้นครับ...
เงินเฟ้อ... ตัวกัดกร่อนมูลค่าของเงิน
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า บำเหน็จดำรงชีพที่อาจได้รับเพิ่มขึ้นสูงสุด 100,000 บาทนี้ จะได้รับเมื่อมีอายุตั้งแต่ 70 ปี ไม่ใช่ ณ วันที่เกษียณ พูดถึงเงินกับเวลาที่ผ่านไปแบบนี้ก็ต้องพูดถึง “เงินเฟ้อ” ซึ่งจะมีผลทำให้มูลค่าของเงินที่เรามีอยู่ลดลง ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินจำนวนเท่าเดิม ตัวอย่างจากมาตรการล่าสุดนี้ ถ้าหากคำนวณด้วยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3% เงินบำเหน็จดำรงชีพที่จะได้รับเป็นครั้งที่ 3 เมื่ออายุครบ 70 ปี (หากอัตราบำนาญรายเดือนถึงเกณฑ์) เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของเงิน ณ วันที่เกษียณอายุ 60 ปี จะพบว่ามูลค่าของเงินลดลงกว่า 1 ใน 4 เลยทีเดียว ดังนั้นใครที่คิดจะซื้อของเพื่อเติมความสุขให้ตนเองในวันนั้น อย่าลืมเผื่อเงินเฟ้อในอนาคตด้วยนะครับ
จัดสรรเงินหลังเกษียณ... มั่นคงคู่ผลตอบแทน
แม้ผู้มีสิทธิรับบำนาญจะได้รับบำเหน็จดำรงชีพตามช่วงอายุ 60, 65 และ 70 ปี และแม้ผู้รับบำนาญจะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล แต่เรายังต้องดำรงชีวิตหลังจากนั้นอีก 20-30 ปี หรืออาจถึง 40 ปีด้วยซ้ำ หากวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขึ้น ดังนั้น เราควรจัดสรรเงินที่มีเพื่อใช้หลังเกษียณให้ตรงตามวัตถุประสงค์ นั่นคือ เงินที่ต้องการใช้จ่ายประจำก็ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ กองทุนรวมตลาดเงิน สำหรับเงินในส่วนอื่นอาจลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้น เช่น ตราสารหนี้ ตราสารทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ด้วยนะครับ
สำหรับสมาชิก กบข. เองก็มีทางเลือกเมื่อเกษียณอายุ ในการให้ กบข. ช่วยบริหารเงินต่อ หรือทยอยรับเงินเป็นงวด (ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้) หากมีเงินในบัญชีรายบุคคลส่วนที่ขอให้บริหารต่อหรือขอทยอยรับเป็นงวดไม่ต่ำกว่า 35,000 บาท โดยการทยอยรับจะต้องรับเป็นงวด รายเดือน ราย 3 เดือน ราย 6 เดือน หรือรายปีก็ได้ แต่ละงวดต้องไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ทั้งนี้ สามารถเปลี่ยนทางเลือกได้ปีละ 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุนได้ เงินส่วนที่บริหารต่อจะอยู่ในแผนการลงทุนสุดท้ายก่อนเกษียณอายุ
จะแบ่งเงินให้ครอบครัววันนั้นเลยดีไหม?
คงจะคาดเดาได้ใช่ไหมครับว่าถ้าคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกหลานทราบว่าข้าราชการเกษียณอย่างเรามีเงินมากมายขนาดนี้ ก็ต้องมีบางคนมาขอแบ่งเงินจากเราบ้าง แต่จะตัดสินใจอย่างไรดีระหว่างแบ่งเงินให้ขณะที่เรามีชีวิตอยู่เลย หรือจะให้เป็นกองมรดกในวันที่เราจากไปแล้ว ถ้าจำนวนเงินที่จะแบ่งให้ครอบครัวไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรือกระทบต่อแผนการใช้เงินหลังเกษียณ ก็อาจจะแบ่งให้ได้เลย ส่วนสมาชิก กบข. ที่ใช้บริการออมต่อ ก็ต้องคำนึงด้วยว่าหากไม่เปลี่ยนใจนำเงินออกจาก กบข. ในภายหลัง เมื่อเสียชีวิต เงินสะสม (รวมทั้งเงินสะสมส่วนเพิ่ม ถ้ามี) เงินสมทบ เงินชดเชย และเงินประเดิม (ถ้ามี) ในส่วนที่ กบข. ช่วยบริหารต่อ พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทน จะจ่ายให้แก่ผู้จัดการมรดก เพื่อนำมาแบ่งให้แก่ทายาทต่อไป ดังนั้นเราจึงควรทำพินัยกรรมโดยระบุทายาทผู้รับเงินในส่วนนี้ให้ตรงตามความประสงค์ของเรา
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อผู้รับบำนาญเสียชีวิต ทางราชการยังมีการจ่ายเงินช่วยพิเศษเท่ากับ 3 เท่าของบำนาญรายเดือนอีกด้วย จึงควรระบุผู้รับเงินช่วยเหลือพิเศษในหนังสือแสดงเจตนาให้ชัดเจน มิฉะนั้นเงินส่วนนี้จะจ่ายให้แก่บุคคลตามลำดับต่อไปนี้ คือ (1) คู่สมรส (2) บุตร (คนใดคนหนึ่ง) (3) บิดามารดา และ (4) บุคคลผู้จัดการศพ
ปิดท้ายเรื่องนี้ ก็ต้องกล่าวคำว่าขอแสดงความยินดีอีกครั้งสำหรับข้าราชการที่มีสิทธิได้รับบำเหน็จดำรงชีพเพิ่มขึ้น แต่การที่ทุกท่านจะมีความสุขเพิ่มขึ้นได้ ต้องวางแผนการใช้จ่ายและลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังเกษียณ ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและสภาพเศรษฐกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วยนะครับ...
ติดต่อผู้เขียนได้ที่ www.facebook.com/vinaya.chysirichote หรือ LINE: vinayachy
อ้างอิง
พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มาตรา 47/1, 47/2, 49
พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 มาตรา 57/1, 57/2, 60, 65, 67/1
พ.ร.ฎ. การจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535 มาตรา 24, 42
กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (64)
กฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ พ.ศ. 2562 (รวม 2 ฉบับ)
ประกาศคณะกรรมการ กบข. เรื่อง หลักเกณฑ์การขอรับและการตรวจสอบสิทธิในการได้รับเงินจากกองทุนฯ ข้อ 7, 17, 18
ประกาศคณะกรรมการ กบข. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดให้มีแผนการลงทุน การเลือกแผนการลงทุน การให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาเลือกแผนการลงทุน และการเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน พ.ศ. 2560 ข้อ 11[1]
#บำเหน็จดำรงชีพ #บำเหน็จบำนาญข้าราชการ #กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ #กบข #SiamWealthManagement #VinayaChy
[1] ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 มีการกำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการ กบข. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดให้มีแผนการลงทุน การเลือกแผนการลงทุน การให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาเลือกแผนการลงทุน และการเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน พ.ศ. 2564 ข้อ 12
Comments