top of page

7 ข้อคิดเห็นและข้อสังเกต กับตลาดสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำในไทย

Writer's picture: Kasidis Suwanampai, CFP®Kasidis Suwanampai, CFP®

Updated: May 8, 2020


ที่มาของภาพประกอบ: needpix.com

จากคราวที่แล้วที่ได้นำเสนอเกี่ยวครับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว ใน บทความก่อน คราวนี้เลยอยากจะลองกับข้อมูลผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เรียกได้ว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ และเป็นเครื่องมือหลักที่นิยมใช้ในการออมและลงทุนของทั้งภาคประชาชน เอกชน และสถาบันต่าง ๆ

แต่ก่อนอื่น อยากจะให้ผู้อ่านได้ทบทวนทำความเข้าใจตลาดตราสารหนี้กันอีกสักรอบ

ตราสารหนี้ คือตราสารทางการเงินที่ผู้ลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ (เป็นผู้ปล่อยกู้นั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากหุ้นหรือตราสารทุนที่ผู้ลงทุนมีสถานะเป็นเจ้าของร่วม) และจะเป็นเจ้าหนี้ใคร ปล่อยกู้ใครนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกหนี้ (หรือผู้ออกตราสาร) เป็นใครด้วย ซึ่งถ้าลูกหนี้เป็นรัฐบาล หน่วยงานรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ก็จะเรียกตราสารหนี้ที่เป็นหลักฐานการปล่อยกู้นั้นว่า “พันธบัตร” ส่วนถ้าลูกหนี้เป็นบริษัทมหาชน ก็จะเรียกตราสารหนี้นั้นว่า “หุ้นกู้”

แล้วขนาดของตลาดตราสารหนี้ไทยใหญ่แค่ไหนกัน? จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าตลาดตราสารหนี้ในไทย (มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ขึ้นทะเบียนในสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย) ณ สิ้นเดือน มีนาคม ค.ศ. 2020 มีอยู่ถึง 13.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น

  • ตราสารหนี้ภาครัฐ ราว 9.4 ล้านล้านบาท

  • ตราสารหนี้ภาคเอกชน ราว 3.6 ล้านล้านบาท

  • และส่วนที่เหลือคือหุ้นกู้ต่างประเทศ ราว 0.2 ล้านล้านบาท

ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หากจะลองเปรียบเทียบกับตลาดรองของตราสารทุน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 12.1 ล้านล้านบาท

และสำหรับตราสารหนี้เอง ก็มีดัชนีที่ใช้ในการชี้วัดและติดตามความเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตราสารหนี้ในตลาดรอง ที่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (หรือ Thai BMA) ได้จัดทำขึ้นมา ซึ่งถ้าจะทำให้เห็นภาพของผลตอบแทนรวมที่เกิดขึ้นจากตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกันทั้งหมดทุกรุ่นทุกอายุ ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธปท. พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน จึงควรต้องพิจารณาดูจากสถิติของ Total Return Composite Bond Index ที่เป็นดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนรวมทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในตราสารหนี้ ณ วันสิ้นเดือนของแต่ละเดือนมาคำนวณเป็นผลตอบแทนจากการถือครองตราสารหนี้ไทยตลอดช่วงระยะเวลาที่ถือครอง (หรือ Holding Period Return, HPR) ซึ่งรวมเอาผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ (Capital Gain) และส่วนของดอกเบี้ย (Interest) ของตราสารหนี้ทั้งตลาดไว้แล้ว


สถิติผลตอบแทนรวมตลอดระยะเวลาการถือครอง (Holding Period Return) ของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index
สถิติผลตอบแทนรวมตลอดระยะเวลาการถือครอง (Holding Period Return) ของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index

เช่นเดียวกันกับบทความก่อนหน้า วิธีการอ่านและดูรูปนี้ก็จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือตารางด้านบน ที่บอกระดับผลตอบแทนรวมจากการถือครองตราสารหนี้ไทยด้วย Thai BMA’s Composite Bond TRI โดยแกนนอนสีน้ำเงินคือช่วงเวลาที่เข้าสู่ตลาด (สมมติฐานคือว่าเข้าซื้อตราสารหนี้ทั้งตลาด) และแกนตั้งสีส้มคือช่วงเวลาที่ออกจากตลาด (สมมติฐานคือว่าขายตราสารหนี้หมดพอร์ต) และสีในตารางแต่ละช่อง ก็แสดงถึงอัตราผลตอบแทนตลอดช่วงระยะเวลาที่ถือครอง (HPR ของ Composite Bond TRI) ว่ามีมากน้อยแค่ไหนตามสเกลที่ได้ระบุไว้ และส่วนที่สองคือกราฟเส้นด้านล่าง ที่เอาดัชนี Thai BMA’s Composite Bond TRI (เส้นสีน้ำเงิน) ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนราคาและดอกเบี้ย และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (เส้นสีส้ม) ซึ่งถูกใช้เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง มาวางเพื่อเทียบเคียงช่วงเวลากับตารางด้านบน และเพื่อให้สามารถเทียบเคียงช่วงเวลาเดียวกันกับการลงทุนในหุ้นไทยจากสถิติในบทความก่อนหน้านี้ได้ด้วย จึงใช้กรอบเวลาเดียวกันในการอธิบาย (มกราคม ค.ศ. 2007 ถึง มีนาคม ค.ศ. 2020)

ทำให้จากสถิติผลตอบแทนรวมจากตลาดตราสารหนี้ในภาพรวม ผมก็ขอสรุปออกมาเป็นข้อคิดเห็นและข้อสังเกตทั้ง 7 ข้อได้ดังนี้

#ข้อที่1 ตราสารหนี้แม้จะมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากสถานะความเป็นเจ้าหนี้ตามลักษณะสัญญากู้ยืมเงิน แต่ผลตอบแทนก็ไม่ได้สูงมาก โดยในช่วงระยะเวลาที่พิจารณานี้ ไม่ว่าคุณจะเข้าซื้อตราสารหนี้หรือขายออกในช่วงเวลาไหน ไม่ว่าจะถือสั้นหรือถือยาวแค่ไหนก็ตาม เฉลี่ย ๆ แล้วก็จะมีโอกาสอยู่ราว ๆ

  • 3% ที่คุณจะไม่ได้กำไรอะไรเลย เพราะขาดทุนจากการลงทุน (ลงทุนตราสารหนี้ เป็นเจ้าหนี้ ก็ขาดทุนได้เช่นกัน)

  • 56% ที่เงินของคุณที่ลงทุนไป 1 บาท จะกลายเป็น 1-1.25 บาท

  • 29% ที่เงินของคุณที่ลงทุนไป 1 บาท จะกลายเป็น 1.25-1.5 บาท

  • 10% ที่เงินของคุณที่ลงทุนไป 1 บาท จะกลายเป็น 1.5-1.75 บาท

  • 2% ที่เงินของคุณที่ลงทุนไป 1 บาท จะกลายเป็น 1.75-2 บาท

  • 0.02% ที่จะได้กำไรเกินเท่าตัวเงินของคุณที่ลงทุนไป 1 บาท จะกลายเป็นมากกว่า 2 บาท

ในตารางด้านบน หากนำไปเทียบกับตารางของหุ้นไทยแล้ว จะพบว่าลักษณะความผันผวนของผลตอบแทนที่เกิดขึ้น และโอกาสที่จะได้กำไรหรือขาดทุนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับหุ้นไทยนั้นเนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง หากนักลงทุนต้องการลดโอกาสในการขาดทุนลง (หุ้นไทยมีโอกาสราว 9% ที่จะขาดทุนไม่ว่าจะถือนานแค่ไหนก็ตาม) จะต้องลงทุนในระยะยาวขึ้นเพื่อช่วยลดความผันผวน แต่สำหรับตราสารหนี้ที่มีความผันผวนต่ำกว่าแล้ว โอกาสในการขาดทุนจึงน้อยกว่า และสามารถลงทุนในระยะที่สั้นกว่าโดยคาดหวังผลตอบแทนเป็นบวกได้ โดยระยะเวลานานที่สุดที่การลงทุนในตราสารหนี้จะขาดทุนนั้นใช้เวลาแค่ 1 ปีกับอีก 6 เดือน

#ข้อที่2 หากต้องการทำให้เงินลงทุน 1 บาทของคุณที่ลงทุนไป กลายเป็น 2 บาทหรือมากกว่าด้วยตราสารหนี้ จะต้องใช้เวลากว่า 13 ปี ซึ่งแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าตราสารทุนแบบในโพสต์เดิมที่ยกตัวอย่างไว้ (ตลาดหุ้นไทยใช้ระยะเวลาที่เร็วที่สุดแค่ 1 ปีกับอีก 4 เดือน ในการเปลี่ยนเงิน 1 บาทเป็น 2 บาท) แต่ความผันผวนนั้นต่ำกว่ามาก และเรียกได้ว่าจากข้อมูลย้อนหลังชุดนี้ แทบไม่มีโอกาสในการขาดทุนเลยหากถือไว้ในระยะเวลาที่ยาวนาน (โอกาสที่จะขาดทุนจากตลาดตราสารหนี้ เกิดขึ้นเพราะลงทุนไม่ถึง 2 ปี) แต่ด้วยอัตราผลตอบแทนที่ต่ำ ก็จะทำให้เสียโอกาสในการหาผลตอบแทนที่มากขึ้นในระยะยาว ดังนั้น ด้วยข้อดีของการที่โอกาสขาดทุนมีน้อยในระยะเวลาการลงทุนที่สั้น และมีผลตอบแทนที่ไม่ได้ต่ำมากจนไม่น่าสนใจ (อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4-5%) ตราสารหนี้จึงเป็นเครื่องมือที่ผู้แนะนำการลงทุนมักนำเสนอเป็นสัดส่วนใหญ่สำหรับพอร์ตการลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อเก็บออมระยะสั้น หรือการลงทุนเพื่อเพิ่มการปกป้องเงินต้น

#ข้อที่3 1 ปีกับ 3 เดือน คือระยะเวลายาวนานที่สุดที่นักลงทุนจะอยู่ในช่วงเวลาที่ตลาดตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งการขาดทุนนั้น แม้ว่ามันจะขัดกับความรู้สึกบางคนที่ว่า “เป็นเจ้าหนี้ ขาดทุนได้ยังไง?” แต่คำอธิบายง่าย ๆ สำหรับการขาดทุนในตลาดตราสารหนี้ เพราะการลงทุนในตราสารหนี้ มันก็มีทั้งผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาตราสารหนี้ (Capital Gain) และส่วนของดอกเบี้ย (Interest) รวมอยู่ด้วย ซึ่งผลตอบแทนจากส่วนต่างราคานี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ได้ และเป็นผลมาจากค่า Duration หรืออายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ทั้งหมดถ่วงน้ำหนักด้วยกระแสเงินสด และทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในตลาด (แนะนำให้อ่านศึกษากลไกของ Duration และอัตราดอกเบี้ย ต่อราคาตราสารหนี้ จากบทความนี้)

#ข้อที่4 ตลาดตราสารหนี้ อาจจะไม่เหมือนกันตลาดตราสารทุนอีกแง่มุมนึงก็ตรงที่ รอบหรือวัฏจักรของตลาด อาจจะยาวนานได้กว่าระยะเวลาเกิดขึ้นกับวัฏจักรของธุรกิจและวัฏจักรของตลาดหุ้น จนจุดสูงสุด-ต่ำสุด ของตลาดหรือ Peak & Trough อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ในกรอบระยะเวลาไม่กี่สิบปี ทำให้ในระยะที่สั้นมาก(อย่างที่ยกตัวอย่างมาในรูปนี้) อาจจะดูเป็นการที่ตลาดตราสารหนี้นั้นไม่ได้วิ่งเป็นวัฏจักร มีแต่จะวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามมูลค่าตราสารที่ออกมาสู่ตลาด ด้วยความผันผวนบ้างเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง มันอาจจะเป็นแค่เส้นตรงช่วงนึงที่เป็นส่วนของเส้นโค้งในวัฏจักรที่ยาวนานกว่านั้นเอง จนทำให้การเล่นรอบ เก็งกำไรจุดต่ำสุด-สูงสุดเพื่อจับจังหวะซื้อขายเพื่อหาผลตอบแทนมาก ๆ ในตลาดตราสารหนี้ด้วยระยะเวลาสั้น ๆ อาจจะทำได้ยากกว่าตลาดหุ้นเยอะ (ซึ่งการเก็งกำไรนั้นอาจทำได้จากการวิเคราะห์ตลาด เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย การวิเคราะห์อัตราค่า Duration ของตราสาร การวิเคราะห์การเปลี่ยนระดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต ฯลฯ)

#ข้อที่5 สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทย ตลอดช่วง 159 เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีกว่า 48 เดือนที่ Thai BMA’s Composite Bond TRI มีผลตอบแทนรายเดือนติดลบ นั่นหมายความว่า ในระยะสั้น (ในเวลาไม่ถึงเดือน) มีโอกาสราว 30% ที่คุณจะขาดทุน แต่สามารถลดโอกาสตรงนี้ลงได้ด้วยการลงทุนในระยะเวลาที่ยาวขึ้น เพราะโดยเฉลี่ย ๆ แล้ว ไม่ว่าคุณจะเข้าหรือออกจากตลาดตอนช่วงเวลาไหน ก็จะมีโอกาสอยู่ราว ๆ

  • 18% ที่คุณจะขาดทุน หากคุณมีระยะเวลาการลงทุนไม่ถึง 1 ปี

  • 1% ที่คุณจะขาดทุน หากคุณมีระยะเวลาการลงทุนนานกว่า 1 ปีแต่ไม่เกิน 2 ปี

  • และแทบไม่มีโอกาสขาดทุนแล้ว (จากสถิติย้อนหลัง) หากคุณลงทุนนานมากกว่า 2 ปี ขึ้นไป

จะเห็นได้ว่า ตราสารหนี้ ถือเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับพอร์ตการลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางได้เป็นอย่างดี แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ได้มากนัก แต่หากจะต้องวางแผนการลงทุน เพื่อเป้าหมายที่มีความสำคัญมาก ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้น ตราสารหนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินต้น และใช้ผลตอบแทนจากการลงทุนในการช่วยเก็บและออม


สถิติผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี ตามจำนวนปีที่ถือครองของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index
สถิติผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี ตามจำนวนปีที่ถือครองของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index

#ข้อที่6 ไม่ว่าจะเริ่มต้นลงทุนในตราสารหนี้ช่วงเดือนไหน จะต้นปี กลางปี ท้ายปี โอกาสขาดทุนก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก อยู่ที่ราว ๆ 2-3% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในข้อแรก และมันลดโอกาสขาดทุนลงได้อีกอยู่แล้วจากการลงทุนในระยะเวลาที่ และเช่นกัน ก็ยังคงแนะนำว่า สามารถที่จะเฉลี่ยลงทุนเพื่อเอาราคาเฉลี่ยของทั้งปีไปเลย (แบบที่เรียกกันว่า DCA นั่นแหละครับ) จะได้ไม่ต้องทนปวดหัวกับการจับจังหวะ หรือจะลงทุนด้วยเงินก้อน ณ วันที่เริ่มต้นลงทุน (แบบที่เรียกกันว่า Lump-Sum น่ะครับ) ไปเลยทีเดียว เพื่อให้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนตราสารหนี้ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้


สถิติผลตอบแทนรายเดือนของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index
สถิติผลตอบแทนรายเดือนของ Thai BMA Composite Bond Total Return Index

#ข้อที่7 เช่นเดียวกับตราสารทุนในโพสต์ก่อน ในสถิติข้างต้นนี้ พิจารณาเฉพาะกรณีผลตอบแทนรวมที่มีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ทุกประเภททั้งตลาดรอง ความหมายก็คือว่า ความเสี่ยงเดียวที่นักลงทุนเจอ ก็คือความเสี่ยงของตลาดที่เป็นระบบ (Systematic Risk) ที่ไม่ว่าตราสารหนี้ตัวไหนก็มีโอกาสเจอเหมือน ๆ กัน (ตัวอย่างเช่น ทิศทางดอกเบี้ยในตลาด) ซึ่งถ้าหากว่านักลงทุน ไม่มีการกระจายการลงทุนที่ดีเพื่อกระจายความเสี่ยงเฉพาะตัวของตราสารหนี้แต่ละตัว (Specific Risk) ออกไปแล้ว หรือไปลงทุนตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความเสี่ยงให้อยู่ในลักษณะที่ไม่ใช่เกรดสำหรับเพื่อลงทุน (อันเนื่องมาจากความเสี่ยงของบริษัทหรือหน่วยงานผู้ออกตราสาร ที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง ซึ่งตราสารหนี้พวกนี้มักจะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่มากขึ้น) ผลตอบแทนรวมที่ได้ในความเป็นจริงของนักลงทุน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าจากสถิติที่แสดงให้เห็นในรูป และแน่นอนว่า พอร์ตการลงทุนที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม ก็อาจจะต้องพบเจอกับความผันผวนในระดับที่รุนแรงแบบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่เว้นแม้แต่ตราสารหนี้เช่นกัน

จากข้อคิดเห็นและข้อสังเกตข้างบนนี้ อาจจะพอช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงของตลาดตราสารหนี้ ทั้งในระยะยาวและระยะสั้น รวมถึงนำไปประกอบกับพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้ หลังจากนี้ไปในอนาคต นอกเหนือไปจากปัจจัยความเสี่ยงที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็อาจจะต้องพิจารณาความเสี่ยงจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในตลาดหลังจากนี้ที่น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำไปอีกนาน และผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือที่ภาครัฐออกมาเพิ่ม อย่างเช่น กองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund - BSF) ด้วยเช่นกันนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก

อ่านเพิ่มเติม

ดาวน์โหลดภาพขนาดใหญ่ได้ที่

178 views0 comments

Comments


bottom of page