top of page
  • PA

มุมมองทั่วไปเกี่ยวกับเทคโนโลยี blockchain และการลงทุนใน cryptocurrency ปี 2018


เริ่มต้นปีใหม่ ขอมาแบ่งปันมุมมองเรื่องที่มาแรงที่สุดเรื่องหนึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา blockchain และ cryptocurrency หรือบิทคอย ซึ่งหลายคนอาจให้ความสำคัญในแง่มุมของการลงทุน แต่โดยส่วนตัวมองว่า cryptocurrency ก็ไม่ต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น ที่เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจทั้งในภาพรวมของตลาดและเทคโนโลยี เลขขอรวบยอดเล่ามุมมองทีเดียวสองเรื่องเลย

มุมมองส่วนตัวในเรื่องของเทคโนโลยี

- 2018 (น่าจะเป็น)ปีของ Decentralized Applications (DApps) –

ส่วนตัวเคยแชร์ในสเตตัสเฟสบุ๊ค (https://www.facebook.com/pak.aranyawat/posts/10155777194107419) ว่าปี 2017 เป็นปีเปิดตัวของบิทคอยและผองเพื่อน แต่ความน่าสนใจจริงๆ ของเทคโนโลยีจะอยู่ในปีนี้ ปีที่เทคโนโลยี blockchain มีพัฒนาการด้านต่างๆ มากพอให้นำมาใช้สร้างเป็นพื้นฐานของ startup ที่จะแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือที่เรียกว่า Decentralized Application หรือ DApp (หมายถึงการนำเทคโนโลยีมาสร้างประโยชน์ ไม่ใช่แอพมือถือนะ) ไม่ว่าจะเป็น app อย่าง omisego ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาในการใช้จ่าย digital asset หรืออย่าง kyber network หรือ 0x project ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องของการแลกเปลี่ยนส่งต่อ digital asset โดยไม่ผ่านเว็บตัวกลาง ปีนี้น่าจะมีหลายร้อย startup ที่ fail ไม่เป็นท่าแล้วมูลค่า token ก็เหลือ 0 บาท แล้วก็มีบาง startup ที่เป็นผู้ชนะของ app นั้นๆ ที่มีมูลค่าจริงๆ หลักพันล้านเหรียญ ไม่ใช่มูลค่าปั่นเหมือนในปัจจุบัน

- 2 DApps, 1 Technology: decentralized exchange, data privacy และ scaling –

จากที่บอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่เทคโนโลยีจะเริ่มตามทันโมเดลทางธุรกิจ ขอยกพระเอกให้กับสามเรื่องหลักๆ 1) เรื่องของการ scaling ปัญหาหลักในปัจจุบันหนีไม่พ้นเรื่องข้อจำกัดการทำ transaction ให้ได้เร็วพอเพื่อนำมาสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ ปีนี้น่าจะได้เห็น lightning network (ของบิทคอย) ที่ช่วยให้การส่งต่อ/ใช้จ่าย cryptocurrency สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าธรรมเนียม รวมถึงได้เห็น plasma (ของ Ethereum) ตัว scaling ที่จะมาช่วยให้การทำ transaction ของ smart contract 2) decentralized Exchange ตามที่ได้เล่าไว้ข้างบน และ 3) data privacy ไม่ว่าจะเป็นในมุมของ cryptocurrency ที่เด่นในเรื่องของการปกปิดข้อมูลผู้ใช้อย่าง zcash หรือ zcoin และในมุมของการปกปิดข้อมูลไม่ให้ centralized institution อย่างเช่น credit bureau หรือ Facebook เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้มากเกินไปแล้วเกิดปัญหา โดยพระเอกในเรื่องนี้ขอยกให้ token ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างเช่น enigma แถมอีกนิดอีกตัวที่จะมาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดตัวนึงในการเกิดของ DApps คงหนีไม่พ้น smart contract platform อย่าง Ethereum, Neo หรือ Stratis

มุมมองส่วนตัวในเรื่องของการลงทุน

- หาสไตล์ในการลงทุนของตัวเองให้เจอ -

เรื่องนี้สำคัญสุดๆ ใครจะลงทุนในตลาดนี้ควรรู้ตัวเสมอว่าทำอะไรอยู่ อย่างที่ได้เห็นกันในช่วงที่ผ่านมา แต่ละวัน (หรือแต่ละชั่วโมง) ราคาวิ่งกันบ้าสุดๆ การตัดสินใจผิดแค่นิดเดียวอาจทำให้ 1 ชม. ถัดมาเงินหายไป 20-30% ได้ทันที รวมถึงตลาดนี้เป็นตลาดที่มีเจ้ามากที่สุดที่นึง มีในทุกเหรียญที่เทรด มีคนเชียร์จริง เชียร์มั่วเต็มไปหมด เพราะงั้นในการซื้อทุกครั้งเราต้องมีแผนการที่ชัดเจน ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเก็งกำไรสั้นๆ หลักวัน (กำไร 20% ขาย) เก็งกำไรกลางๆ หลักอาทิตย์ (กำไร 100-300%) หรือยาวหน่อย หลักเดือน (300% ขึ้นไป) ลงทุนระยะสั้น (ถือจนครบ cycle) หรือลงทุนระยะยาว (ถือเกิน 1 ปี) ไม่งั้นจะโดยตลาดปั่นหัวไปได้ง่ายๆ

- cycle ของตลาด: บิทคอย -> พื้นฐาน -> เทคนิคัล -> โซเชียล -> บิทคอย -

หากถามคนที่อยู่ในตลาดว่าซื้อเหรียญไหนเป็นตัวแรก คำตอบส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นบิทคอย พอเล่นไปได้ซักพักเริ่มเบื่อเพราะบิทคอยขึ้นน้อยสุด จึงมองหาตัวอื่นที่มีพื้นฐานดี มีชื่อเสียงดี หรือพวกตัวติด 10 อันดับแรก จากนั้นจะเริ่มเป็นช่วงของการเทรดบนการวิเคราะห์เทคนิคัลหรือดูกราฟ ต่อด้วยการเชื่อ social media ทั้งหลายโดยเฉพาะ twitter หลังจากนั้นจะมาปิดรอบที่การซื้อบิทคอยอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการปิดรอบ สิ่งที่อยากเล่าคือถึงแม้ซื้อตัวดี แต่ซื้อผิดช่วงก็ใช้ว่าเราจะกำไรเยอะ อย่างเช่นในช่วงเดือนธันวาจนถึงมกราปีนี้บิทคอยไม่วิ่ง แต่เป็นช่วงที่คนเล่นน่าจะมีกำไรมากที่สุดช่วงหนึ่ง

- เราน่าจะอยู่ตรงไหนใน cycle นี้? -

จริงๆ 4-5 step ข้างบน มันก็คือการที่ทุกคนพยายามพัฒนาการเทรดของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ แต่ข่าวร้ายคือตลาดมักจะไวกว่าเราก้าวหนึ่งเสมอ เหมือนเราคิดอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อไรที่เราคิดว่าเรารู้วิธีเทรด ตลาดจะเปลี่ยนวิธีเล่นหนีเราไป โดยส่วนตัวมองว่าปัจจุบันเราน่าจะอยู่ในช่วงกลาง-ท้ายของ cycle นี้ คือช่วงที่ก่อนราคาบิทคอยจะวิ่งอีกครั้งนึง หรือประมาณช่วงเดียวกับเดือนพฤกษาของปีที่แล้ว (cycle ข้างบนอาจมี cycle ย่อยๆ วนอีกหลายรอบก่อนที่ฟองสบู่จะแตกจริง) ส่วนช่วงกลางคือช่วงที่ alternative coins วิ่งดีที่สุด กำไรหลักๆ จะได้ในช่วงนี้ หลักจากนั้น อย่าลืม take profit เข้าบิทคอยเพื่อเก็บเงินที่ได้มา อย่าคิดว่า alts จะวิ่งได้ตลอดการ (ยังไม่น่าใช่ครึ่งปีนี้)

- ควรเข้าใจทั้งอุตสาหกรรม mining, masternode, fundamental (industry), ico, technical, social -

ทุกอย่างเกี่ยวข้องกันกับราคาเหรียญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ mining เหรียญแต่ละตัว การทำ masternode รวมถึงการเข้าใจ potential ของแต่ละเหรียญในการ disrupt โลกธุรกิจ ทั้งในแง่ของ business model ทีมงานของแต่ละเหรียญ รวมถึง industry ที่แต่ละบริษัทกำลังเล่นอยู่ และที่ขาดไม่ได้เลยคือเจ้ามือ การเข้าใจในภาพใหญ่ของเทคโนโลยี blockchain (2 ข้อบนข้างต้น) จะช่วยให้เราเห็นภาพว่าภาพใหญ่ตอนนี้มันอยู่ตรงไหนแล้วภาพเล็กๆ เค้ากำลังปั่นตัวไหนกันอยู่ ตัวไหนควรลงยาว ตัวไหนควรลงสั้น ตัวไหนควรลงที่ต้น cycle ตัวไหนควรขายทิ้งเมื่อราคาวิ่งแล้ว และอื่นๆ ใน cycle หน้า สิ่งเหล่านี้จะกลับมาใหม่ ใครที่ยืนได้ในเกมระยะยาวก็ได้เปรียบไป

- บับ-เบิ้ล ฟองสบู่แตก -

ส่วนตัวคิดว่ามาแน่ๆ bitcoin จะร่วงไปอีก 40-50% จากจุดสูงสุดเหมือนรอบที่ผ่านๆ มา และ alts จะร่วงหนักกว่า อาจจะอยู่ที่ 60-80% ของราคาสูงสุด คำถามสำคัญที่สุดคือเมื่อไร ใคร ‘เดา’ ถูกก็ชนะไป ส่วนตัวถ้าจะให้เดา ขอเดาว่าบิทคอยน่าจะเริ่มวิ่งขึ้นอีกครั้งต้น-กลางเดือนกพ. แล้วไม่น่าเกินเดือนเมษา ตลาดน่าจะร่วงใหญ่ๆ หนึ่งครั้ง ถ้าโชคดี cycle ข้างบนจะวนอีกรอบ (แต่ alts จะเปลี่ยนตัววิ่ง) ส่วนในระยะยาวมันจะกลับมาใหม่ อาจไม่สูงเท่าครั้งนี้ แต่จะมีตัวที่สูงกว่าเดิม ไม่น่าเกินสิ้นปี น่าจะมีการพูดถึง startup ที่จะกลายมาเป็น Facebook, Amazon, Uber ในรูปแบบของ decentralized startup

ยาวเกินเล็กน้อย สุดท้ายสั้นๆ ในตลาดนี้มีคนที่อยู่มานานกว่า ฉลาดกว่าภาคมากมาย หาได้ตามทวิตเตอร์ ยังไงอย่าหยุดอ่านแค่ตรงนี้ บอกได้เลยว่าคนเหล่านั้นแทบจะอยู่กับมันทั้งวันทุกวัน (ส่วนตัวเกาะสถานการณ์ทั้งวัน อ่านทวิตเกือบจะทุกอันจากทุกคนที่ follow) ถ้าเราต้องเทรดกับคนเหล่านั้นแล้วเอาชีวิตรอดให้ได้ในวันที่ตลาดเป็นขาลง เราคงต้องเตรียมพร้อมไว้ไม่มากก็น้อย

การลงทุนมีความเสี่ยง(มาก) อย่าลงมากเกินกว่าที่จะเสียได้นะครับ

:D

หมายเหตุ 1) เนื้อหาข้างต้นนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่บทวิเคราะห์หรือข้อมูลที่ใช้ในการแนะนำการลงทุน ผู้ลงทุนที่ได้อ่านบทความนี้ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน พร้อมทั้งตัดสินใจด้วยเหตุและผลในการลงทุนหรือวางแผนการลงทุนของท่านอย่างเหมาะสม และไม่รับรองหรือการันตีความถูกต้องในการนำส่วนของข้อคิดเห็นหรือมุมมองของผู้เขียนเองที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงไปประยุกต์ใช้ต่อไป 2) ผู้เขียนไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ อันเกิดขึ้นจากใช้เนื้อหาและข้อมูลในบทความนี้เพื่อตัดสินใจลงทุนโดยตรง โดยไม่ได้พิจารณาถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงที่รับได้ของตัวนักลงทุนเอง

120 views1 comment
bottom of page