
เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่ง “วันแม่” ของไทย พูดถึงความเป็นแม่แล้ว ปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะมีครอบครัวและมีบุตรกันน้อยลง เนื่องจากสภาพการทำงานที่เคร่งเครียดมากขึ้น จนส่งผลให้โครงสร้างประชากรเกิดความไม่สมดุล ทำให้รัฐบาลต้องเสนอมาตรการต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ประชาชนมีบุตรมากขึ้น คุณแม่มือใหม่ที่วางแผนจะมีบุตรสักคน จึงควรทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่รัฐบาลจัดไว้ให้ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น ไปหาคำตอบด้วยกันเลยครับ...
เมื่อตั้งครรภ์
คุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (มาตรา 33, 39) และได้ส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเข้ารับบริการทางการแพทย์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นค่าตรวจและรับฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินครรภ์ละ 1,000 บาท[1] โดยแบ่งตามอายุครรภ์ดังนี้
อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ไม่เกิน 500 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ไม่เกิน 300 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ ไม่เกิน 200 บาท
สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปีนั้น ยังสามารถไปลงทะเบียนขอรับสิทธิเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในอัตราคนละ 600 บาทต่อเดือน จนเด็กอายุครบ 6 ปี โดยลงทะเบียนได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีภูมิลำเนา และสามารถขอรับสิทธิได้แม้จะเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมก็ตาม
เมื่อคลอดบุตร
คุณแม่ที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชน (เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33) จะมีสิทธิลาเพื่อการคลอดบุตรได้ครรภ์ละไม่เกิน 98 วัน (รวมวันลาเพื่อการตรวจครรภ์ และวันหยุดที่มีระหว่างนั้นด้วย) โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ แต่ไม่เกิน 45 วัน และยังมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรจากกองทุนประกันสังคมอีกครรภ์ละ 13,000 บาท[2] (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) รวมถึงเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร (ไม่เกิน 2 ครรภ์) เท่ากับ 50% ของค่าจ้างเป็นเวลา 90 วัน (ค่าจ้างในระบบประกันสังคมมีเพดานอยู่ที่ 15,000 บาท จึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์สูงสุด 22,500 บาท) ส่วนคุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ก็มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรทั้ง 2 ส่วนเช่นกัน โดยค่าจ้างในกรณีนี้คำนวณจากอัตรา 4,800 บาท เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรที่ได้รับจึงอยู่ที่ 7,200 บาท
นอกจากนี้ คุณแม่ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากเงินที่จ่ายเป็นค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรได้ไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาท โดยต้องหักสิทธิสวัสดิการที่ได้รับจากแหล่งอื่น ๆ เช่น ประกันสังคม หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ได้รับจากนายจ้างภาคเอกชนด้วย (เช่น ได้รับประโยชน์ทดแทนจากประกันสังคม 14,000 บาท และสิทธิสวัสดิการจากนายจ้าง 20,000 บาท จะลดหย่อนภาษีสำหรับครรภ์นี้ได้ 26,000 บาท)
เมื่อลูกถึงวัยเตาะแตะ-เรียนหนังสือ
คุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 และได้ส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร สำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ เหมาจ่ายเป็นเงินในอัตรา 600 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน[3] คราวละไม่เกิน 3 คน (เช่น หากบุตรคนแรกอายุถึง 6 ปีบริบูรณ์แล้ว สามารถนำบุตรคนที่ 4 มารับเงินสงเคราะห์ต่อไปได้)
สำหรับคุณแม่ที่ทำอาชีพอิสระ และได้สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เฉพาะทางเลือกที่ 3 (สมทบเดือนละ 300 บาท) ก็มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์เช่นเดียวกัน ในอัตรา 200 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน คราวละไม่เกิน 2 คน โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องได้ส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 24 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าว และต้องมีการจ่ายเงินสมทบในแต่ละเดือนที่มีสิทธิด้วย
นอกจากนี้ คุณแม่ยังสามารถลดหย่อนภาษีสำหรับบุตรอีกคนละ 30,000 บาท และสำหรับบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 (นับลำดับของบุตรทุกคนไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม) จะสามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท โดยใช้สิทธิลดหย่อนได้ตั้งแต่ปีภาษีที่บุตรเกิด ทั้งนี้มีเงื่อนไขคือ บุตรคนนั้นจะต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษี เช่น รางวัลจากการแข่งขัน/ชิงโชค ค่าตัวนักแสดง ค่าเช่าทรัพย์สินที่ใช้ชื่อบุตรเป็นเจ้าของ ฯลฯ ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไปในปีภาษีนั้น และบุตรต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ด้วย คือ (1) เป็นผู้เยาว์ คือยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่ว่าจะโดยอายุหรือโดยการสมรส หรือ (2) มีอายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไป หรือ (3) ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
ถึงตอนนี้ บรรดาคุณแม่มือใหม่ก็คงจะได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งตามกฎหมายแรงงาน ประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคม และโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกรมกิจการเด็กและเยาวชน รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการเป็นคุณแม่กันไปแล้ว เชื่อว่าสิทธิประโยชน์เหล่านี้จะเป็นแรงจูงใจให้คุณแม่สามารถวางแผนเกี่ยวกับการมีบุตรมากขึ้น และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องไม่ลืมว่าเราให้กำเนิดลูกน้อยมาเพื่อเลี้ยงดูให้เขาได้เติบโตเป็นคนดีของสังคม มาพัฒนาประเทศต่อไปในภายภาคหน้านั่นเองครับ...
ติดต่อผู้เขียนได้ที่ www.facebook.com/vinaya.chysirichote หรือ LINE: vinayachy
อ้างอิง
ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 (1) (ค)
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 41, 59
พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 65-68, 74-75, 75 ตรี
พ.ร.ฎ. กําหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 มาตรา 8, 18
กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (99)
กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 และ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความใน พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533
กฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. 2561
ระเบียบกรมกิจการเด็กและเยาวชน ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด พ.ศ. 2562
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 331) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร
ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีคลอดบุตร
ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนกรณีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ
[1] ต่อมาในปี 2564 ได้มีการปรับเพิ่มอัตราค่าตรวจและรับฝากครรภ์เป็นไม่เกินครรภ์ละ 1,500 บาท โดยแบ่งตามอายุครรภ์ดังนี้
อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ไม่เกิน 500 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ไม่เกิน 300 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ ไม่เกิน 300 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 32 สัปดาห์ ไม่เกิน 200 บาท
อายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ ถึง 40 สัปดาห์ขึ้นไป ไม่เกิน 200 บาท
[2] ต่อมาในปี 2564 ได้มีการปรับเพิ่มอัตราประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรเป็นครรภ์ละ 15,000 บาท
[3] ต่อมาในปี 2564 ได้มีการเพิ่มอัตราประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรเป็นเดือนละ 800 บาทต่อบุตร 1 คน
Comments