top of page

เมื่อ 2022 เป็นอีกปีที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุน แล้ว 2023 จะยังไงต่อดี .. อ่านมุมมองจาก Lombard Odier

2022 กลายเป็นหนึ่งในสามปีที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนในรอบร้อยปีที่ผ่านมา

https://www.lombardodier.com/contents/corporate-news/investment-insights/2022/december/turning-the-page-on-2022.html
ที่มา Lombard Odier Private Bank

จากรายงานฉบับพิเศษ CIO Viewpoint - Turning the page on 2022 ของทาง Lombard Odier ที่เขียนถึงบทสรุปของการลงทุนในปี 2022 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ คือกราฟในรูปนี้ ที่บอกว่าปี 2022 นี้ ก็เป็นอีกปีที่นับได้ว่า “แย่สุด ๆ” ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดทุนสหรัฐ ฯ ผู้ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยดูเทียบจากสถิติผลตอบแทนจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (ตัวอย่างจาก พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ฯ หรือ US Treasury อายุ 5 ปี) และผลตอบแทนจากสินทรัพย์เสี่ยงสูง (ตัวอย่างจาก หุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ) ที่ติดลบด้วยกันทั้งคู่


ความหมายก็คือ ไม่ว่าจะลงทุนแบบเสี่ยงต่ำ หรือลงทุนแบบเสี่ยงสูง พอร์ตก็แดงแป๊ดกันหมด (ซึ่งก็อาจจะมีสินทรัพย์ประเภทอื่นนอกเหนือจากนี้ที่ผลตอบแทนดี แต่เพื่อยกตัวอย่าง เข้าใจว่าทางรายงานจึงเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะกับตลาดทุนของสหรัฐ ฯ)


และซ้ำรอยประวัติศาสตร์เศรษฐกิจตกต่ำในปี 1931 (ช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐ ฯ หรือ “The Great Depression”) และปี 1969 (ช่วงยุคปลายสงครามเวียดนาม) ไปเป็นครั้งที่สาม จากในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา


นอกจากนั้น ปี 2022 ยังมีผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งเสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง ที่แย่กว่าปี 2008 ยุคของวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์หรือที่เรียกติดปากกันว่าวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) และปี 2002 ยุคของวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม ที่แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนติดลบมหาศาล แต่ตลาดตราสารหนี้ยังถือว่าดีกว่ามาก และนอกจากนี้ ปี 2022 ก็ยังอยู่ในโซนที่นับว่าแย่กว่าปี 2019-2021 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ตามมาด้วยซ้ำไป


โดยศัพท์หนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในรายงานฉบับนี้ก็คือ “Permacrisis” ศัพท์แปลกไม่คุ้นหู ที่ได้รับการเสนอจากพจนานุกรม Collins Dictionary ให้เป็นคำศัพท์แห่งปี 2022 และแปลเป็นไทยได้ว่า “วิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและคงทน” โดยมีที่มาจากคำว่า Perma- (คงทน) รวมกับ Crisis (วิกฤต) แสดงถึงช่วงเวลาแห่งความไร้เสถียรภาพและความไม่มั่นคงปลอดภัยที่ยืดเยื้อออกไป อันเป็นผลมาจากสถานการณ์และวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก


เปรียบได้กับบทสรุปแบบขอสั้น ๆ ของการลงทุนปีนี้ ว่าทั้งจากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงเป็นประวัติการณ์ในหลาย ๆ ประเทศ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางที่พุ่งสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สงครามทั้งทางกายภาพ(ยูเครน-รัสเซีย)และทางเศรษฐกิจ(จีน-สหรัฐ ฯ)ที่ส่งผลต่อปัจจัยด้านพลังงานและทรัพยากร ทำให้หน้าตาของผลตอบแทนจากการลงทุน ออกมาอย่างที่เห็นกันแบบนี้


2023 อีกปีแห่งความท้าทาย และ 10 คำแนะนำสำหรับปีหน้า


จากที่สังเกตได้ในรูปดังกล่าวแล้วพบว่า ในปี 1932 และปี 1970 ซึ่งเป็นปีถัดจากปีที่ถูกจัดว่า “แย่สุด ๆ” มา มีแนวโน้มที่จะมีผลตอบแทนจากฝั่งสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ดีขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์เสี่ยงสูงก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่ซ้ำรอยตามปีก่อนหน้าไป ดังนั้น ถ้าว่ากันด้วยสถิติแล้ว ปี 2023 ข้างหน้านี้ ก็อาจจะพอคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าในปี 2022 ได้


เพียงแต่ว่า แนวโน้มจากสถิตินี้ อาจจะไม่เกิดซ้ำขึ้นอีกก็เป็นได้เช่นกัน


และจากรายงานฉบับพิเศษอีกฉบับ CIO Viewpoint - Ten Investment Convictions for 2023 ของทาง Lombard Odier เอง ก็เชื่อว่าผลกระทบจากปี 2022 ในประเด็นของเงินเฟ้อที่สูง นโยบายการเงินที่รัดกุม และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง จะมีผลต่อเนื่องไปยังผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดทุนปี 2023 อย่างแน่นอน เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูง อาจส่งผลให้เกิดภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจได้ในสหรัฐ ฯ หรือทางฝั่งยุโรปเอง ก็ยังเจอกับปัญหาราคาพลังงานที่สูงซึ่งเป็นผลมาจากสงครามยูเครน-รัสเซีย จนดันค่าครองชีพขึ้น และแม้ว่าจีนที่เป็นส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ก็ยังต้องระมัดระวังในปัญหาจากภาคอสังหาริมทรัพย์และนโยบายการควบคุมโรคระบาด


ทั้งหมดนี้ ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังได้ในปีหน้า อาจน้อยกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่คาดหวังได้ในระยาว จึงทำให้กลยุทธการลงทุนสำหรับปีหน้า การมองหาสินทรัพย์ลงทุนที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำและอัตราการทำกำไรที่ยังดีอยู่ ตราสารหนี้ที่ได้เรทติ้งสูง สกุลเงินที่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง และเตรียมเงินสดให้พร้อมลงทุน


ดังนั้น ทาง Lombard Odier Private Bank มีคำแนะนำสำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือสถานการณ์การลงทุนในปี 2023 ไว้ โดยสรุปเป็น 10 ข้อได้ดังต่อไปนี้


1. ถึงจุดหนึ่ง ธนาคารกลางจะต้องหยุดการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย และนั่นคือจังหวะที่สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงจุดสูงสุด พร้อมกับเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเพิ่มความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้น (ซึ่งตอบไม่ได้ว่าจะเมื่อไหร่ ต้องติดตามเฝ้ารอ)

ree

โดยในระยะแรก ก่อนที่จะถึงจุดตัดสินใจในข้อ 1. ที่สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ถึงจุดสูงสุด


2. ให้คงสัดส่วนการลงทุนที่เสี่ยงสูงไว้ในสัดส่วนที่น้อยก่อน โดยอาจเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพ (Quality) พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เรทติ้งดี และเตรียมเงินสดไว้ให้พร้อม

ree

3. หลังจากนี้ ตลาดหุ้นอาจจะพบกับความผันผวนรอบใหม่ จากปัจจัยเรื่องกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่อาจน้อยลงอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้นควรกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์คุณภาพหลาย ๆ ตัว ไม่ให้กระจุกตัวมากเกินไป

ree

4. การใช้ตราสารอนุพันธ์ประเภทออปชัน (Options) เพื่อ Hedge และลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนลง อาจช่วยให้ Drawdown ของพอร์ตลดลงได้

ree

5. มองหาโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกให้มากขึ้น แต่ต้องระมัดระวังให้มากและควรจำกัดสัดส่วนการลงทุนให้ไม่เสี่ยงจนเกินไป เพราะว่าอาจจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนเพียงระยะสั้น ๆ จากความผันผวนที่รุนแรงมากกว่าปกติ

ree

6. สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) น่าจะยังคงความแข็งแกร่งอยู่ได้ ไม่อ่อนตัวลงมากนัก หรืออาจจะมองหาสกุลเงินทางเลือกอื่นที่อาจกลายเป็น Safe Heaven ได้ เช่น ฟรังก์สวิส (CHF) หรือ เยน (JPY) และควรหลีกเลี่ยงเงินยูโร (EUR) ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) และหยวน (CNY) ในช่วงแรกนี้

ree

และในระยะที่สอง หลังจากผ่านจุดตัดสินใจในข้อ 1. ที่สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว


7. เชื่อว่าทองคำจะได้รับความนิยมมากขึ้น จากการที่ข้อ 6 เริ่มกลับทิศทาง เงินดอลลาร์เริ่มอ่อนตัวลง บวกกับจีนที่เริ่มเปิดประเทศมากขึ้น

ree

8. เชื่อว่าตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนสูง (HY Bond) จะน่าสนใจมากขึ้นกว่ากลุ่มพันธบัตรหรือหุ้นกู้ทั่วไป ในการนำมาเติมเข้าสู่พอร์ตการลงทุน

ree

9. เชื่อว่าจะมีโอกาสการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นขาขึ้น จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และ Valuation ของหุ้นที่สูงขึ้นตาม ซึ่งในจุดนั้นอาจจะไปเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ล้อตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical) หรือหุ้นเติบโตสูง (Growth)

ree

10. เชื่อว่าตลาดหุ้นในประเทศกลุ่มตลาดกำลังพัฒนา (EM) จะน่าลงทุนมากกว่าประเทศกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (DM) อันเป็นผลมาจากค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับสกุลเงิน EM รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ผนวกกับแรงสนับสนุนจากกระแสเงินลงทุนที่หลั่งไหลเข้าไปสู่ประเทศกลุ่มดังกล่าว

ree

และนี่คือ 10 ข้อแนะนำ ที่แปลและเรียบเรียงจากเอกสารที่คุณ Stéphane Monier CIO ของทาง Lombard Odier Private Bank ได้เผยแพร่ไว้สำหรับแนะนำกลยุทธการลงทุนในปี 2023 ซึ่งนับว่ามีมุมมองที่สนใจไม่น้อย เพราะแม้ว่าในปี 2022 นี้จะมีเซอร์ไพรส์มากมาย แต่ผลงานคำแนะนำสำหรับปี 2022 จากที่ได้แนะนำไว้เมื่อสิ้นปี 2021 โดย CIO ท่านเดียวกันนี้ ก็พาลูกค้ามาถูกทางกว่า 7 ใน 10 ข้อแล้ว


ฉะนั้น หากกำลังมองหาไอเดียสำหรับแผนกลยุทธการจัดการพอร์ตการลงทุนของเราในปีหน้า ก็อาจจะลองหยิบเอาคำแนะนำเหล่านี้จากทาง Lombard Odier ไปประยุกต์ปรับใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนดูได้ครับ



อ้างอิงและอ่านเพิ่มเติม

Comments


bottom of page